เหตุผลที่”แบริเออร์” (Barrier) มีรูปทรงแบบนี้
จริง ๆ ทรงนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพราะสวยหรือเพราะผลิตง่าย แต่มีเหตุผลเชิงวิศวกรรมและความปลอดภัยที่ซ่อนอยู่เยอะมาก
จุดกำเนิด ทำไมต้องโค้งแบบนี้? ทรงนี้เกิดในสหรัฐช่วงปี 1950s–1960s โดยศูนย์วิจัยของรัฐนิวเจอร์ซีย์ (เลยได้ชื่อว่า New Jersey Barrier) ออกแบบมาเพื่อ “เบี่ยงรถออกจากแนวกั้น” แทนที่จะหยุดมันทันที
• ฐานด้านล่างลาด → ถ้ารถชน ล้อจะไต่ขึ้นเล็กน้อย ทำให้แรงปะทะเปลี่ยนเป็นแรงยกและเบี่ยงไปด้านข้าง
• ส่วนบนบานออก → กันไม่ให้รถลอยข้ามราว (โดยเฉพาะรถบรรทุกที่มีน้ำหนักมาก)
รูปทรงที่คำนวณจาก “ฟิสิกส์ของการพลิกคว่ำ” มุมลาดล่างประมาณ 55–60° ถูกเลือกเพื่อให้แรงปะทะถูกกระจายไปที่ช่วงล่างของรถความสูงของบานบนคำนวณจาก จุดศูนย์ถ่วงของรถเก๋งและรถบรรทุกเฉลี่ย เพื่อให้ปะทะในจุดที่ตัวถังแข็งแรงที่สุด และลดโอกาสพลิกคว่ำทรงนี้ยังช่วยให้รถ “ปีนแล้วตกกลับฝั่งเดิม” แทนที่จะข้ามไปฝั่งตรงข้าม
เหตุผลด้านการผลิตและใช้งาน
• แบบปูน → ใช้แม่พิมพ์เดียวกันต่อเนื่อง ผลิตเร็ว วางต่อกันได้แบบโมดูล
• แบบใส่น้ำ → น้ำหนักเบาเวลาขนย้าย แต่เมื่อตั้งแล้วเติมน้ำจะมีแรงเฉื่อยสูง พอรถชนจะไม่เคลื่อนง่าย
• รูปทรงเว้า–นูนทำให้ ซ้อนเก็บและขนส่งได้ประหยัดพื้นที่ (แบบพลาสติกใส่น้ำซ้อนกันได้พอดี)
ความลับเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยบอกกัน
• ร่องแนวตั้ง บนผิวไม่ใช่แค่เพื่อความสวย แต่ช่วยให้มองเห็นเงาชัดในแดดจ้า (เพิ่มการมองเห็นในเวลากลางวัน) และช่วยให้ราวมีโครงเสริมแรงเหมือนครีบ
• สันเล็ก ๆ ด้านบน ออกแบบให้รถที่ชนแล้วไม่ปีนขึ้นง่ายเกินไป แต่ถ้าจำเป็นก็ให้ปีนแบบควบคุมได้
• บางประเทศปรับขนาดเล็กลง (Mini Jersey) เพื่อใช้ในพื้นที่เมือง แต่ยังคงหลักการฟิสิกส์เดิม
ทำไมมันถึงใช้ทั้งแบบปูนและแบบใส่น้ำ
• แบบปูน → เหมาะกับการใช้งานถาวร เช่น ทางด่วนหรือเกาะกลางถนน เพราะรับแรงได้มากกว่า
• แบบใส่น้ำ → เหมาะกับงานชั่วคราว เช่น ปรับปรุงถนน เพราะเคลื่อนย้ายง่ายและลดแรงชนด้วยน้ำที่สาดออก (ทำหน้าที่เป็น Energy Dissipation)
มีสองมุมลาดชันชัดเจน: หน้าลาดขึ้นบน (~84°) และลาดย้อนลงด้านล่าง (~55°)ขนาดมาตรฐานคือสูง ~813 มม ฐานกว้าง ~600 มม และด้านบน ~240 มม
โครงสร้างนี้ช่วยให้รถที่ชนถูก “ยกรถขึ้นเล็กน้อย” และ “เบี่ยงรถกลับ” แทนการหยุดกะทันหัน!!!
ทำไมล้อถึงไต่ขึ้นแบบนี้ (เหตุผลเชิงวิศวกรรม)
• ทรงลาดของราว (lower sloped face) ถูกออกแบบให้ล้อรถ “ไต่ขึ้น” เมื่อชน ไม่ใช่กระแทกชิดแนวตั้งเฉย ๆ
• ล้อที่ไต่ขึ้นช่วยให้เกิดแรงเบี่ยงเอียงซึ่ง ลดการหยุดกระทันหัน ทำให้รถเลี้ยวออกจากแนวกั้นอย่างควบคุมได้
เหตุผลทางวิศวกรรมที่ล้อปีนแบบนี้มีบทบาทสำคัญ
1. ทรงลาดเอียงเว้า (lower sloped face) ถูกออกแบบมาเพื่อให้ล้อเลี้ยวก้าวขึ้น ไม่ใช่ชนแรง ๆ ตรง ๆ เปลี่ยนแรงชนเป็นแรงเบี่ยงและกระจายผ่านโครงสร้างรถ (เช่น bumper, ช่วงล่าง)
2. ลดแรงกระแทกกับตัวรถ — และป้องกันพลิกคว่ำ การที่ล้อไต่และแรงกระแทกเปลี่ยนทิศ ช่วยให้ตัวรถไม่ชนแนวดิ่งเต็ม ๆ และลดแรงเฉือนที่ทำให้ควบคุมรถได้ยาก
3. ช่วยรีไดเรกซัน รถให้กลับเข้าช่องทางอย่างนุ่มนวล สไตล์ “redirect” โดยไม่เด้งกลับไปยังเลนฝั่งตรงข้าม และเพิ่มความปลอดภัยต่อการชนครั้งต่อไป
Mini Jersey Barrier ใช้ในประเทศหรือพื้นที่ใดบ้าง?
1. อิตาลี และยุโรป
จากเอกสาร NCHRP รายงานภาพตัวอย่างที่ใช้ Jersey Barrier ในสะพานนอกกรุงโรม (Rome) ซึ่งอาจใช้แบบย่อหรือปรับขนาดให้เหมาะสมกับพื้นที่ยุ่งในเมือง
2. สหราชอาณาจักร (UK)
มีการใช้ระบบ “National Barrier Asset” ซึ่งเป็นระบบแบริเออร์โมดูลาร์สำหรับเหตุการณ์พิเศษ เช่น การประชุมหรือมาตรการรักษาความปลอดภัยในเมืองบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด โดยใช้รูปแบบที่สามารถเคลื่อนย้ายและวางได้รวดเร็ว
3. ไอร์แลนด์ และฮ่องกง
• ใน ไอร์แลนด์ ใช้ “Concrete step barrier” ตามมาตรฐานยุโรปซึ่งอาจมีรูปทรงคล้ายกันแต่ปรับให้เหมาะกับโครงสร้างของถนนในเมือง
• ใน ฮ่องกง ใช้ระบบคอนกรีต profile barrier ที่ออกแบบตามมาตรฐานยุโรปและออสเตรเลีย เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองหรือพื้นที่จำกัด
4. สหรัฐฯ (เฉพาะบางรัฐ)
บางรัฐอาจมีการใช้รุ่นที่สูงหรือเตี้ยกว่ามาตรฐาน เช่น Ontario Tall Wall ในแคนาดา ซึ่งมีความสูงกว่าเพื่อป้องกันการส่องไฟรถฝั่งตรงข้าม อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่เมือง มักใช้ชนิดที่ปรับขนาดลงเพื่อประหยัดพื้นที่และน้ำหนัก