จุดเริ่มต้นการนำคู่สีตรงข้ามมาใช้นั้นเกิดจาก
“เคยสังเกตมั้ย? ทำไมอุปกรณ์จราจรใช้ สีคู่ตรงข้าม”
แนวคิดเรื่องสีในความปลอดภัยและจราจรเกิดจากการรวมกันของวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และมาตรฐานสากลที่พัฒนามาตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมยุคแรก → เริ่มใช้จริงจังใน ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 – ต้นศตวรรษที่ 20 และต่อมากำหนดเป็นกฎหมายโดยหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศ
ประวัติการใช้สีในสัญญาณไฟจราจร
อิทธิพลจากระบบสัญญาณรถไฟ
• ในช่วงทศวรรษที่ 1840 ระบบรถไฟในสหราชอาณาจักรใช้สัญญาณสีเพื่อควบคุมการเดินรถ:
• แดง: หยุด
• ขาว: ไปได้
• เขียว: ใช้ในบางกรณีเพื่อระบุ “ไปด้วยความระมัดระวัง”
• อย่างไรก็ตาม การใช้สีขาวทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อเลนส์สีแดงหลุดออก เผยให้เห็นแสงสีขาวที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสัญญาณ “ไปได้” ส่งผลให้มีการเปลี่ยนมาใช้สีเขียวแทนสีขาวเพื่อความชัดเจนและปลอดภัยยิ่งขึ้น .
|
สัญญาณไฟจราจรแห่งแรกของโลก (ลอนดอน, 1868)
• เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1868 วิศวกรรถไฟชาวอังกฤษชื่อ John Peake Knight ได้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรแห่งแรกของโลกที่หน้ารัฐสภาในกรุงลอนดอน .
• ระบบนี้ใช้โคมไฟแก๊สสีแดงและเขียว ควบคุมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยใช้คันโยกที่ฐานเสา .
• อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ถูกยกเลิกหลังจากเกิดการระเบิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1869 ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ .
การพัฒนาในสหรัฐอเมริกา (ดีทรอยต์, 1920)
• ในปี ค.ศ. 1920 William Potts เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้พัฒนาไฟจราจรสามสี (แดง เหลือง เขียว) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการจราจร .
• ไฟจราจรนี้ถูกติดตั้งครั้งแรกที่สี่แยกถนน Woodward และ Fort Street ในเมืองดีทรอยต์ .
• การเพิ่มไฟสีเหลืองช่วยให้ผู้ขับขี่มีเวลาตัดสินใจก่อนเปลี่ยนสัญญาณ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการจราจร .
1. สัญญาณไฟจราจรแห่งแรกในลอนดอน (1868)
• ภาพสัญญาณไฟจราจรที่ติดตั้งหน้ารัฐสภาในกรุงลอนดอน
2. ระบบสัญญาณรถไฟในศตวรรษที่ 19
• ภาพแสดงสัญญาณสีแดงและเขียวที่ใช้ในระบบรถไฟ
3. ไฟจราจรสามสีในดีทรอยต์ (1920)
• ภาพไฟจราจรที่พัฒนาโดย William Potts ในเมืองดีทรอยต์