อันตรายจากเสียง!!!
ในการดำรงชีวิตของมนุษย์เรานั้น ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หูลิ้น จมูก และประสาทรับความรู้สึกสัมผัสมีความหมายอย่างยิ่งโดยเฉพาะ ” หู ” จัดว่ามีความสำคัญคู่เคียงกับตา
ทั้งนี้เพราะหูเป็นอวัยวะรับเสียงเพื่อการสื่อความหมายสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจและเข้าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง
เสียงมีอันตรายอย่างไร
หูเรานั้นสามารถรับพังเสียงได้ตั้งแต่ความถี่ 20 เฮิรตซ์ ถึง 20,000 เฮิรตซ์ แต่ช่วงความถี่ของเสียงที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันมากคือ ช่วงความถี่ของเสียงพูดหรือความถี่ 500 -2,000 เฮิรตซ์ นอกจากนี้หูยังมีความสามารถและอดทนในการับพังเสียงในขอบเขตจำกัด หากเลียงเบาเกินไปก็จะไม่ได้ยิน แต่ถ้าเสียงดังเกินไปก็จะทำอันตรายต่อหูหรือมีอาการปวดหู สำหรับผู้ที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่นโรงงานทอผ้า โรงงานปั้มโลหะหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านตลาดหรือการจราจรดับคั่ง ฯลฯ จะทำให้อวัยวะรับเสียงโดยเฉพาะเซลล์ขนและประสาหรับเสียงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ความสามารถในการได้ยินลดลงหรือเรียกว่า “หูตึง” และหากยังละเลยให้คงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังต่อไป ก็จะทำให้”หูหนวก” ไม่สามารถได้ยินและติดต่อพูดคุยเช่นปกติได้ ซึ่งมีผลให้การดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความยากลำบากและต้องกลายเป็นคนพิการ
การสูญเสียการได้ยิน แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
การสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราว (Temporary Threshold Shift, TTS) จะเกิดขึ้นจากการสัมผัสเสียงดังเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้เซลล์ขนซึ่งอยู่ในหูชั้นในกระทบกระเทือนไม่สามารถทำงานได้ชั่วคราว และเซลล์ขนจะกลับสู่สภาพเดิมได้หลัง สิ้นสุดการสัมผัสเสียงดังเป็นเวลาประมาณ 14-16 ชั่วโมงเสียงดังแค่ไหนจึงจะเกิดอันตราย สำหรับคนที่ทำงานหรือต้องอยู่กับเสียงดังทั้งวัน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากเสียงได้ เช่น ทำงานเป็นบริกรในผับ โรงกลึง โรงเหล็ก เป็นต้น เราควรเช็คเกณฑ์กำหนดของระดับเสียงที่เป็น อันตราย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ว่าตนเองอยู่ในพื้นที่อันตรายหรือไม่ ?
การสูญเสียการได้ยินแบบถาวร (Noise-Induced Permanent Threshold Shift, NIPTS) ทำให้หูชั้นในเหนื่อยล้า บ่อยๆ นานๆ และไม่สามารถทำการรักษาให้การได้ยินกลับ
เสียงดังแค่ไหนจึงจะเกิดอันตราย
สำหรับคนที่ทำงานหรือต้องอยู่กับเสียงดังทั้งวัน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากเสียงได้ เช่น ทำงานเป็นบริกรในผับ โรงกลึง โรงเหล็ก เป็นต้น เราควรเช็คเกณฑ์กำหนดของระดับเสียงที่เป็น อันตราย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ว่าตนเองอยู่ในพื้นที่อันตรายหรือไม่ ?
7 ชม. | สัมผัสเสียงไม่เกิน 90B(A)
8 ชม. | สัมผัสเสียงไม่เกิน 85B(A)
8 ชม. | สัมผัสเสียงไม่เกิน 80B(A)
ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุหากมีเสียงดังเกินมาตรให้มีการคิดป้ายเพื่อแจ้งเตือนและควรสวมใส่ อุปกรณ์ลดเสียง
ตารางแสดงตัวอย่างแหล่งกำเนิดเสียงระดับความดังของเสียงและผลต่อระบบการได้ยิน
ระดับเสียง | ตัวอย่างผล | กระทบต่อการได้ยิน |
140 dB | เสียงปืน | ทำลายประสาทการได้ยินทันที |
125 dB | เสียงประทัด | ปวดหูทันที |
120 dB | คอนเสิร์ต | ประสาทหูบางส่วนถูกทำลาย |
115 dB | สนามฟุตบอล | สัมผัส 30 วินาทีก็อันตราย |
95 dB | สว่าน / เสียงเครื่องมือ | ประสาทหูเริ่มถูกทำลาย |
85 dB | เครื่องขัดสายพาน (เกณฑ์มาตรฐานอันตราย) | เริ่มเกิดผลเสีย |
80 dB | สำนักงานเสียงดัง | ประสาทหูบางส่วนเริ่มถูกทำลาย |
30 dB | ห้องนอนทั่วไป | เสียงเงียบ ไม่เป็นอันตราย |
![]() |
ควรป้องกันแค่ไหนดี ?
ระดับการป้องกันที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของความดังต่างๆ ซึ่งอิงกับค่า SNR หรือ NRR ที่เปรียบเทียบกับการป้องกันโดยอุปกรณ์ป้องกันระบบ
การได้ยิน โดยข้อมูลนี้ใช้เป็นคำแนะนำ อาจจะไม่เหมาะใน หน้างานที่มีค่าเสียงที่หลากหลายหรือในย่านเสียงความถี่ต่ำ
ค่าความดังเป็นแบบหน่วย dB: | เลือกอุปกรณ์ที่มีค่าเป็น SNR/NRR: |
85-90 | 20 หรือต่ำกว่า |
90-95 | 20-30 |
95-100 | 25-35 |
100-105 | 30 หรือมากกว่า |
การเลือกอุปกรณ์ป้องกันชนิดที่เหมาะกับหน้างานและใช้ในเวลา ที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ความเข้าใจเกี่ยวกับ อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบการได้ยินจากเสียง ที่ดังขึ้นอย่าง ฉับพลันก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การเกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวรนับเป็นอันตรายที่เกิดจากการทำงานที่มีอัตราการเติบโตเร็วมากกว่าผู้ทำงานรับรู้ได้ว่าตัวเองสูญเสียระบบการได้ยินไป ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขแล้ว ความสูญเสียดังกล่าว ไม่สามารถย้อนกลับและจะคงอยู่กับผู้ทำงานไปถาวร ความเสี่ยง ต่อเสียงดังอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การสูญเสียระบบการได้ยินนั้นสามารถป้องกันล่วงหน้าได้ 100% ให้จำไว้เสมอว่าอย่าให้เสียงดังขโมยระบบการได้ยินของคุณไป